ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เถ้าหลากถล่มนครโบราณ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เถ้าหลากถล่มนครโบราณ แสดงบทความทั้งหมด

Pompeii เถ้าหลากถล่มนครโบราณ

Pompeii เถ้าหลากถล่มนครโบราณ
ปอมเปอี เป็นนครโรมันโบราณ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์สมัยใหม่ ในแคว้นกัมปาเนีย ประเทศอิตาลี
โดยชาวเมืองออสกัน(Oscan) ช่วง 700-600 ปีก่อนคริสตกาล มันตกอยู่ใต้การปกครองของกรุงโรมช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล และถูกพิชิตจนกลายเป็นอาณานิคมโรมันในช่วง 80 ปีก่อนคริสตกาล คาดว่านครโบราณแห่งนี้มีประชากรประมาณ 11,000-20,000 คน เป็นเมืองที่มีทำเลทองเอื้อต่อการค้าและการเกษตร ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดินซึ่งมีแร่ธาตุจากลาวาภูเขาไฟ ทำให้สามารถปลูกต้นองุ่นและมะกอกได้ดี
ในตัวเมืองมีระบบน้ำซับซ้อน มีการทำท่อส่งน้ำเข้ามาใจกลางเมืองไว้สำหรับอาบน้ำสาธารณะและเป็นน้ำพุ มีอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ความจุกว่า 20,000 ที่นั่งสำหรับชมกลาดิเอเตอร์ โรงละครหลายแห่งสำหรับพิธีฉลองทางศาสนาหรือการแสดงคอนเสิร์ตต่าง ๆ มีโรงยิมและท่าเรือ ทำให้เป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน โดยผู้ที่มีฐานะร่ำรวยนิยมสร้างบ้านพักไว้ที่นี่ เพื่อเข้ามาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน

จนเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 79 ภูเขาไฟวิสุเวียสที่หลับใหลมานานกว่าพันปีก็ได้เกิดปะทุขึ้น แรงระเบิดทำให้ลาวา 1.5 ล้านตันไหลทะลักจากปากปล่อง กระแสลมพัดเถ้าถ่าน ฝุ่นควันและก๊าซพิษจำนวนมากกระจายทั่วบริเวณโดยรอบ รวมถึงเมืองปอมเปอีที่ห่างจากเขาเพียง 5 กิโลเมตร จากการค้นพบบันทึกของชาวโรมันคนหนึ่งชื่อ พลินนี่ เดอะ ยังเกอร์ (Pliny the Younger) ได้บันทึกว่า ช่วงวันก่อนภูเขาไฟระเบิดได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินสั่นไหวอยู่หลายครั้ง แต่สมัยนั้นยังไม่มีใครรู้หลักวิทยาศาสตร์ทำให้ไม่ทราบว่า มันคือสัญญาณเตือนถึงหายนะเมืองแห่งนี้

เพียงไม่กี่นาทีหลังภูเขาไฟระเบิด ท้องฟ้าเหนือเมืองปอมเปอีก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นควัน กระทั่งแสงอาทิตย์ก็ไม่อาจส่องทะลุลงมาได้ จะมีเพียงหินร้อนซึ่งคือลาวาที่ถูกแรงระเบิดพ่นขึ้นไปบนฟ้า โดนอากาศจนแข็งตัวกลายเป็นหินพุ่งตกใส่เมืองราวกับฝน ชาวเมืองบางส่วนเสียชีวิตจากหินเหล่านั้น บางส่วนหลบอยู่ในบ้าน อากาศเริ่มมีแต่ฝุ่นควันรวมถึงก๊าซพิษจากภูเขาไฟทำให้เริ่มหายใจไม่ออก ชาวเมืองบางส่วนรีบอพยพย้ายออกจากเมือง ระหว่างนั้นหินและเถ้าก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางบ้านรับน้ำหนักไม่ไหวหักพังลงมาทับคนในบ้านก็มี

การระเบิดของภูเขาไฟเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันที่สองมีความรุนแรงกว่าวันแรกมาก ชายหาดสั่นสะเทือน คลื่นปั่นป่วนพัดบ้านพักริมทะเลเสียหายหลายหลัง จนกระทั่งเข้าวันที่สาม สายฝนก็ได้ตกลงมา และนั่นคือหายนะที่แท้จริง เพราะแทนที่เถ้าภูเขาไฟจะพุ่งขึ้นบนฟ้า เมื่อโดนฝน เถ้าเหล่านั้นกลับละลายกลายเป็นเถ้าหลาก เข้ามากลืนกิน ทำลายเมืองปอมเปอีและเมืองเฮอร์คิวเลเนียม (Herculaneum) เมืองพี่น้องของปอมเปอีจนหมดสิ้น ชาวเมืองนับพันเสียชีวิตจากการถูกฝัง เป็นการปิดฉากสองเมืองใหญ่ไปชั่วพริบตา

กว่าพันปีที่ปอมเปอีถูกซ่อนอยู่ใต้เถ้าและหินภูเขาไฟหนากว่า 4 ถึง 6 เมตร นครโบราณแห่งนี้ถูกเมินหลายต่อหลายครั้งแม้จะถูกค้นพบในปี 1534 ซึ่งมีการขุดพบซากเมือง และในปี 1589 ขุดค้นคลองส่งน้ำ ซากสิ่งก่อสร้างและเหรียญ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ จนเมื่อปี 1599 มีคณะเข้ามาขุดเจอกำแพงที่เต็มได้ด้วยภาพวาดและจารึกมากมาย แต่การสำรวจก็ได้หยุดชะงัก และเริ่มขึ้นขุดอีกครั้งในปี 1748 ต่อเนื่องมา เผยให้เห็นความรุ่งเรืองและอารยธรรมอันงดงาม และแล้วในปี 1784 ก็มีการขุดค้นหาซากเมืองอย่างจริงจัง เมื่อลอกดินออกชาวคณะก็พบกับซากเมืองที่อยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์รวมถึงร่างของชาวเมือง
การค้นพบครั้งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งคือในปี 1863 เมื่อ กูวเซปเป้ ฟิโอเรลลี่ (Giuseppe Fiorelli) ได้ค้นพบชิ้นส่วนของชาวปอมเปอีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งชิ้นส่วนดังกล่าวได้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เหลือแต่โพรงภายใต้ขี้เถ้าภูเขาไฟ ทางคณะผู้สำรวจจึงทำการเจาะรูเล็ก ๆ แล้วหยอดปูนปาสเตอร์ลงไป รอจนปูนแห้งจึงได้รูปร่างของมนุษย์ที่เสียชีวิตในอิริยาบถต่าง ๆ
โดยบางคนอยู่ในท่าทางคล้ายกับกำลังสวดมนต์ เพื่อขอให้พระเจ้าคุ้มครองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต บางคนกำลังเร่งรีบหนี ที่โด่งดังคือ ร่างของคนกำลังกอดกัน ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกต่างๆ จนนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ สันนิษฐานกันว่าเป็นคู่รักชายหญิง เป็นพี่สาวน้องสาวหรือแม่ลูก ภายหลังได้มีการทำ CT-Scan และ ตรวจ DNA พบว่า กระดูกภายในคือชายหนุ่มอายุ 18 และ 20 ปี ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นคู่รักกัน ส่วนโครงกระดูกที่พบ ส่วนมากกระโหลกเป็นรู สาเหตุเกิดจากศรีษะโดนความร้อนสูงราว 500 องศา จากกลุ่มก็าซและเศษขี้เถ้าที่ไหลมาถล่มเมือง ทำให้สมองเกิดการเดือดแล้วระเบิดออก นักวิทยาศาตร์ประเมินว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2,000 กว่าคน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความมหัศจรรย์ของปอมเปอี ทำให้เมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นมรดกโลก เมื่อปี 1997
เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของประเทศอิตาลี ที่มีผู้มาเยือนมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี ผู้เยี่ยมชมสามารถเดินไปตามถนนในเมือง เพื่อพบกับเหล่าชาวเมืองที่เคยใช้ชีวิตอยู่และจะคงอยู่ตลอดไป ได้ตามเวลาที่กำหนด

รายการบล็อกของฉัน